
02-27217300
02-27217179
service@siloahtravel.com
Monday ~ Friday 09:00-18:00
14F.-3, No.137, Sec. 1, Fuxing S. Rd., Da’an Dist., Taipei City 106, Taiwan
Representative: Tung-Hua Tai
VAT: 43871553
交觀甲793500 品保北2260 隱私權條款
IATA: 96137764
Copyright © 2025 Siloah Travel Co., Ltd.. All rights reserved.

โอเชียนเนีย ซีเรน่า
โอเชียเนีย ครูซส์


ท่าเรือลิสบอนตั้งอยู่ริมน้ำแทกุส สร้างขึ้นบนเนินเขาสูงเจ็ดลูก ซึ่งทำให้ลิสบอนกลายเป็นเมืองที่งดงามและเปล่งประกายด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ชมความสวยงามของสถาปัตยกรรมที่หลากหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งรถรางไม้ที่ให้บรรยากาศย้อนยุค อันเป็นเอกลักษณ์ของเมืองแห่งนี้ ท่านจะได้เดินเล่นใน Praça do Comércio ซึ่งคือจัตุรัสอันกว้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ที่ถูกออกแบบให้สวยงามโดยมาร์คิวสแห่งปอมบาล หลังจากแผ่นดินไหวที่ทำลายล้างในศตวรรษที่ 18 การเยี่ยมชมลิสบอนจึงไม่เพียงแค่ชมความงามพระอาทิตย์ตกแบบโรแมนติกใต้สะพาน 25 Abril แต่ยังมีกิจกรรมช้อปปิ้งและสัมผัสวัฒนธรรมในเมืองเก่า ที่สร้างอยู่บนเนินเขาที่ลาดเอียง การแวะเยือนของเรือสำราญที่ท่าเรือลิสบอนทำให้ท่านมีโอกาสสัมผัสทั้งวัฒนธรรมและความงามของเมืองที่ไม่สิ้นสุด ซึ่งรอให้คุณได้ค้นพบในทุกมุมถนน รับประสบการณ์อันหรูหราจากการเดินทางในครั้งนี้ และสัมผัสความมหัศจรรย์ของลิสบอนที่สามารถทำให้หัวใจคุณเต้นแรงได้ในทุก ๆ ช่วงเวลา

ท่าเรือที่สวยงามและเต็มไปด้วยชีวิตชีวาอย่าง "โอปอร์ตู" (Oporto) คือเมืองที่สองที่ใหญ่ที่สุดในโปรตุเกส รองจากลิสบอน เมืองนี้มักถูกเรียกสั้นๆ ว่า "ปอร์โต" ซึ่งเป็นชื่อที่ทุกคนนึกถึงเมื่อพูดถึงองุ่นส่งตรงสำหรับผลิตไวน์พอร์ตที่มีชื่อเสียงระดับโลก ท่าเรือโอปอร์ตูตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโดรู และมีบทบาทสำคัญมาตั้งแต่อดีต เมื่อชาวโรมันสร้างป้อมปราการที่นี่ เพื่อควบคุมเส้นทางการค้า ด้วยการที่เมืองนี้คือจุดแวะสำคัญสำหรับเหล่าผู้จาริกแสวงบุญในอดีต ทำให้โอปอร์ตูร่ำรวยจากการค้าและการค้นพบทางทะเลในศตวรรษที่ 15 และ 16 การค้าขายไวน์พอร์ตกับอังกฤษในภายหลังยังทำให้เมืองนี้เกิดการเจริญรุ่งเรืองอย่างไม่หยุดยั้ง จนกระทั่งกลายเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ ด้วยสะพานที่สวยงามข้ามแม่น้ำโดรู เสน่ห์ของย่านริมน้ำที่มีชีวิตชีวา และโรงไวน์พอร์ตที่มีชื่อเสียง เมืองนี้ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทาง แต่ยังเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่มีเอกลักษณ์ ออกแบบมาสำหรับผู้ที่มองหาประสบการณ์การเดินทางที่เหนือระดับ เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจในการค้นหาความงามของโลกที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในทุกมุมเมือง

ลาคอรุญ่า คือเมืองที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคกาลิเซีย ประเทศสเปน และเป็นหนึ่งในท่าเรือที่คึกคักที่สุดของประเทศ ตั้งอยู่ในมุมตะวันตกเฉียงเหนือของคาบสมุทรไอบีเรีย โดยมีทิวทัศน์ที่เขียวชอุ่มและหมอกลงหนา แตกต่างจากภูมิภาคอื่น ๆ ของสเปน ชื่อ "กาลิเซีย" มีรากศัพท์มาจากภาษาเซลติก ซึ่งเป็นที่อยู่ของเซลติคในช่วงศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช ลาคอรุญ่า เคยเป็นท่าเรือที่สำคัญตั้งแต่สมัยโรมัน และพัฒนาเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่มีชื่อเสียงในศตวรรษที่ 15 เมื่อได้รับสิทธิในการค้ากับอเมริกาในปี 1720 ความงดงามของลาคอรุญ่าสะท้อนผ่านอาคารแบบกระจกซึ่งทำให้เมืองนี้ได้รับชื่อว่า "เมืองแห่งคริสตัล" และสถานที่สำคัญอย่างจัตุรัสมาเรียพิทา ซึ่งเป็นเกียรติแก่หญิงผู้กล้าที่เคยปกป้องเมืองในปี 1589 ปัจจุบัน เมืองประกอบด้วยสามเขตที่แตกต่างกัน ได้แก่ เขตกลางเมือง ธุรกิจ และ “เอนซานเช่” ที่มีคลังสินค้าและโรงงาน อย่าพลาดโอกาสในการสำรวจวัฒนธรรมท้องถิ่นและสัมผัสกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานของเมืองนี้ ซึ่งเต็มไปด้วยความน่าสนใจและแรงบันดาลใจที่ทำให้ผู้มาเยือนต้องกลับมาอีกครั้ง.

บิลบาว (Bilbao) เมืองที่ตั้งอยู่ในแคว้นบาสก์ ของประเทศสเปน ซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางศิลปะและสถาปัตยกรรมได้สร้างความโดดเด่นให้กับเมืองนี้อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หลังจากการเปิดตัวพิพิธภัณฑ์กุกเกนไฮม์ (Guggenheim Museum) ที่ออกแบบโดย Frank Gehry เมืองนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางวัฒนธรรมแห่งใหม่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างมากมาย นอกจากพิพิธภัณฑ์แล้ว สถานที่สำคัญอื่น ๆ เช่น สถานีรถไฟใต้ดินที่ออกแบบโดย Norman Foster และสวนสาธารณะ Abandoibarra ก็เป็นจุดเด่นที่ไม่ควรพลาดในการเยือนเมืองนี้ อย่าลืมเดินชมย่านเก่าของบิลบาวที่เรียกว่า "คาสโก วิเอโก" (Casco Viejo) ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารที่มีเสน่ห์ แถมยังมีตลาดกลางแจ้งที่ Plaza Nueva ซึ่งจัดขึ้นทุกเช้าวันอาทิตย์ ในการเดินเล่นริมแม่น้ำเนร์บิโอ (Nervión) คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศอันงดงาม ที่มีความรุ่งเรืองจากอดีตสู่ปัจจุบัน สำหรับผู้หลงใหลในอาหาร บิลบาวมีชื่อเสียงด้านความอร่อย โดยเฉพาะอาหารบาสก์ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง และหากมีโอกาส อย่าลืมขึ้นรถราง Euskotram เพื่อสัมผัสการเดินทางริมแม่น้ำใจกลางเมือง มาร่วมตะลุยและค้นพบความงดงามของบิลบาว ที่คุณจะจดจำไปตลอดชีวิต!

ท่าเรือ Le Verdon-sur-Mer ตั้งอยู่ระหว่างทะเลเหนือและมหาสมุทรแอตแลนติก อันเป็นประตูสู่เมือง Bordeaux ที่มีชื่อเสียงระดับโลก เรื่องราวของ Bordeaux ย้อนกลับไปถึงศตวรรษที่ 3 เมื่อครั้งที่เคยเป็นเมืองหลวงของ Aquitaine เรียกว่า Burdigala เมืองนี้มีความรุ่งเรืองอย่างมากในช่วงที่อังกฤษปกครอง ตั้งแต่ปี 1154 จนถึง 1453 อันเนื่องมาจากความชื่นชอบในไวน์แดงของพื้นที่ ซึ่งช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไวน์ของท้องถิ่นให้เติบโตขึ้นอย่างมาก Bordeaux ไม่เพียงแต่มีสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิกที่งดงาม ถนนกว้างขวาง และสวนสาธารณะที่สวยงาม ยังมีพิพิธภัณฑ์ชั้นนำและมหาวิหารที่น่าทึ่ง ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้มาเยือน เมืองนี้เคยเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศสในหลายช่วงเวลา รวมถึงช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง การสำรวจ Bordeaux สามารถทำได้อย่างง่ายดายเพียงแค่เดินเท้าไปตามย่านใจกลางเมือง คุณจะได้สัมผัสกับเสน่ห์ของวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่เข้มข้น พร้อมเพลิดเพลินไปกับประสบการณ์ไวน์ที่ไม่เหมือนใคร หากคุณได้ไปเยือน Le Verdon-sur-Mer ต้องไม่พลาดที่จะสำรวจเมือง Bordeaux ซึ่งคอยตอบรับประสบการณ์ในการเดินทางที่หรูหราและน่าจดจำอย่างแท้จริง
ท่าเรือคองการเนอ (Concarneau) ตั้งอยู่ในเขตฟินิสแทร์ (Finistère) ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ที่ยาวนานและวัฒนธรรมที่หลากหลาย สถานที่แห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านทิวทัศน์อันงดงามของอ่าวและเมืองเก่าที่มีอาคารสีสันสดใส สร้างบรรยากาศเสน่ห์ให้แก่นักท่องเที่ยวอย่างไม่รู้ลืม นอกจากท่าเรือที่ใช้เป็นที่จอดเรือสำราญแล้ว คองการเนอยังเป็นที่ตั้งของ Fortress Isle ซึ่งเป็นเกาะที่มีป้อมปราการซึ่งตั้งอยู่กลางทะเล ผู้ที่มาเยือนสามารถเดินสำรวจเกาะและชื่นชมความงามของสถาปัตยกรรมโบราณและวิวที่งดงามของมหาสมุทร เบื้องหลังนี้ยังมีตลาดประจำวัน ที่คุณสามารถสัมผัสถึงบรรยากาศท้องถิ่น ผ่านการชิมอาหารทะเลสดใหม่และของฝากจากชาวประมง การเดินทางมายังคองการเนอเป็นเสมือนการเดินทางสู่ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแบบฝรั่งเศสที่ส่งเสริมให้คุณมีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร เป็นสถานที่ที่ทำให้นักท่องเที่ยวหลงใหลและได้สัมผัสกับอารมณ์ความเป็นชาวฝรั่งเศสในทุกย่างก้าว รับรองว่าจะเป็นความทรงจำที่จะอยู่ในใจคุณตลอดไปเมื่อสำรวจท่าเรือแห่งนี้

เซนต์-มาลโล (Saint-Malo) เมืองท่าแห่งความโรแมนติกที่ตั้งอยู่บนชายฝั่งเหนือของฝรั่งเศส เป็นจุดหมายที่ต้องไปเยือนสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับประวัติศาสตร์แห่งการเดินเรือและความงดงามของทะเล นับตั้งแต่สมัยก่อน เซนต์-มาลโลได้ชื่อว่าเป็นแหล่งกำเนิดของนักเดินเรือที่ยิ่งใหญ่ รวมไปถึงนักสำรวจที่มีชื่อเสียงอย่าง ฌาค คาร์เตียร์ ผู้ซึ่งเคยประกาศสิทธิ์ในแคนาดาให้กับฝรั่งเศสในปี 1534 เมืองนี้เคยถูกเรียกว่า "เมืองโจรสลัด" เนื่องจากมีนักโจรสลัดชื่อก้องอย่าง โรเบิร์ต ซูร์คุฟ และดูเกย์-ทรูอิน ที่ทำให้เซนต์-มาลโลรุ่งเรืองจากการล่าเมืองต่างชาติ แม้ว่าในปี 1944 เซนต์-มาลโลจะได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ที่เกิดจากการต่อสู้ในสงคราม แต่เมืองเก่าก็ได้รับการฟื้นฟูให้กลับคืนสู่ความงามเช่นเดิม ปัจจุบัน, นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นในถนนแคบพอ ๆ กับสัมผัสความงามของบ้านหินแกรนิตในย่าน Vieille Ville และชมปราสาทที่ตั้งตระหง่าน ท่าเรือแห่งนี้ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนริมทะเล หากคุณต้องการหลีกหนีจากฝูงชน ควรมาที่นี่ในฤดูนอกฤดูท่องเที่ยว รอคอยที่จะสัมผัสกับมนต์เสน่ห์ที่ไม่ซ้ำใครของเซนต์-มาลโล สถานที่ที่เก็บรักษาประวัติศาสตร์และการผจญภัยในตำนานไว้อย่างน่าหลงใหล.

ท่าเรือเซาแธมป์ตัน นับเป็นท่าเรือสำราญที่ใหญ่ที่สุดในอังกฤษ ตั้งอยู่ที่ปากอ่าวเซาแธมป์ตัน ระหว่างแม่น้ำเทสต์และอิตเชน เมืองแห่งนี้เคยเป็นศูนย์กลางการค้าขายที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยกลาง โดยมีการส่งออกขนสัตว์และหนังสัตว์จากพื้นที่รอบ ๆ และนำเข้าผลิตภัณฑ์ไวน์จากบอร์โดซ์ แม้เซาแธมป์ตันจะต้องเผชิญกับการทำลายล้างอย่างหนักในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เมืองนี้ก็ได้ฟื้นฟูและสร้างสรรค์ใหม่พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว ด้วยอาคารยุคกลางที่ยังคงเหลืออยู่ เช่น บาร์เกต (Bargate) ที่ถือเป็นหนึ่งในประตูเมืองที่สวยงามที่สุดในอังกฤษ นอกจากท่าเรืออันทันสมัยแล้ว เซาแธมป์ตันยังมีกิจกรรมหลากหลายสำหรับนักเดินทาง ที่สามารถสำรวจเมืองแห่งประวัติศาสตร์และเต็มไปด้วยศิลปะ เช่น พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ที่นำเสนอผลงานศิลปะระดับโลก และยังเป็นจุดเริ่มต้นที่เหมาะสำหรับการออกไปสัมผัสเสน่ห์ของเมืองใกล้เคียง อย่างบอร์นมัธ และสนามกอล์ฟที่สวยงาม การมาที่เซาแธมป์ตันจึงไม่เพียงแค่การเริ่มต้นการเดินทางด้วยเรือสำราญ แต่ยังเป็นโอกาสในการดื่มด่ำกับความงดงามทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของอังกฤษอย่างไม่รู้จบ

ท่าเรือเลออาฟร์ (Le Havre) ตั้งอยู่ในนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส เป็นท่าเรือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของประเทศ และมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน ตั้งแต่ก่อตั้งโดยกษัตริย์ฟรานซิสที่ 1 ในปี 1517 ที่นี้เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อหลายร้อยปีก่อน กลไกการพัฒนาของเมืองเป็นไปตามแผนที่สร้างสรรค์โดยสถาปนิกชื่อดังชาวเบลเยียม ออกุสต์ แปร์เร ซึ่งได้ออกแบบให้เมืองมีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ โดยเฉพาะหลังจากที่เมืองต้องเผชิญกับการทำลายล้างในสงครามโลกครั้งที่สอง การฟื้นฟูเมืองเลออาฟร์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกในปี 2005 ทำให้เมืองนี้กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่แสวงหาความงดงามและประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่นในพิพิธภัณฑ์ รวมถึงเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ ท่าเรือเก่าและโบสถ์ที่มีสถาปัตยกรรมที่ลงตัว ร่วมเดินทางไปกับทัวร์หรูที่ทำให้คุณได้สัมผัสประสบการณ์อันเหลือเชื่อในเมืองเลออาฟร์แห่งนี้ ที่จะทำให้ทุกการเดินทางของคุณน่าจดจำยิ่งขึ้น

ท่าเรือเซ็บรูเก (Zeebrugge) ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลเหนือของเบลเยียม เป็นท่าเรือที่มีความสำคัญและคึกคักที่สุดในยุโรปในยุคปัจจุบัน โดยก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1895 ความสำคัญของท่าเรือนี้ชัดเจนเมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ซึ่งพยายามถูกทำลายหลายครั้งในช่วงสงครามโลกทั้งสองครั้ง แต่ยังคงยืนหยัดเป็นท่าเรือหลักในการประมงของเบลเยียม การเยี่ยมชมเซ็บรูเกจะเป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เมื่อคุณมีโอกาสได้เดินทางไปยังเมืองบรูจ (Bruges) ที่อยู่ใกล้เคียง เมืองนี้ได้รับการออกแบบให้เปล่งประกายด้วยสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์อันล้ำค่า อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปยังรีสอร์ทชายทะเลที่มีชายหาดทรายยาวได้อย่างสะดวกสบายโดยใช้รถรางที่วิ่งตลอดแนวชายฝั่งเบลเยียม แต่ควรทราบว่าในเบลเยียมไม่อนุญาตให้นำอาหารลงฝั่ง จึงไม่ควรพลาดในการสัมผัสกับรสชาติท้องถิ่นอันหลากหลายที่มีให้เลือกในเมืองและรอบท่าเรือ ด้วยท่าเรือเซ็บรูเกที่พร้อมจะเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยใหม่ คุณจะได้รับแรงบันดาลใจให้สำรวจสมบัติทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่ลึกซึ้งของเบลเยียมในทุกก้าวที่เดินทาง

ท่าเรือ IJmuiden ตั้งอยู่ในภาคเหนือของเนเธอร์แลนด์ เป็นจุดเชื่อมต่อที่สำคัญสู่ทะเลเหนือ โดยมีท่าเรือถึงสี่แห่ง ได้แก่ Vissershaven, Haringhaven, IJmondhaven และ Seaport Marina ที่ใช้สำหรับเรือพาณิชย์และเรือสำราญ ท่าเรือนี้ถือเป็นท่าเรือประมงที่ใหญ่ที่สุดของเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าจะเป็นเมืองที่มีอายุยังน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ IJmuiden ได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงปี 1870 เมื่อมีการเปิดคลองทะเลเหนือ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เมืองนี้ถูกทำลายโดยกองทัพเยอรมัน แต่หลังจากปี 1945 ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยสถาปนิก Willem Marinus Dudok ซึ่งออกแบบอาคารที่โดดเด่นอย่าง Stadhuis van Velsen ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาโดยเรือสำราญ IJmuiden คือประตูสู่กรุงอัมสเตอร์ดัม เมืองหลวงของเนเธอร์แลนด์ และเป็นหนึ่งในเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุโรป ที่มีคลองสวยงาม คล้ายคลึงกับภาพวาดที่มีชื่อเสียง นอกจากนั้น ยังมีพิพิธภัณฑ์และแกลเลอรีที่มีงานศิลปะระดับโลก สำหรับการเดินทางจากท่าเรือไปยังใจกลาง IJmuiden มีบริการรถรับส่งฟรี ซึ่งทำให้การเดินทางสะดวกสบายและน่าประทับใจยิ่งขึ้น


เมื่อกล่าวถึงการเดินทางสำรวจสกอตแลนด์ ท่าเรือ Leith เป็นจุดแวะพักที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ตั้งอยู่บนริมแม่น้ำ Forth ในเอดินบะระ ท่าเรือนี้มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเคยเป็นทางเข้าออกหลักในการค้า อันเป็นจุดรวมของวัฒนธรรมและศิลปะ ที่จะทำให้คุณประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่มาถึง Leith ไม่เพียงแต่มีท่าเรือที่สวยงาม แต่ยังเป็นศูนย์กลางที่มีจุดหมายท่องเที่ยวมากมาย เช่น มหาวิทยาลัยฮัดเดอร์ฟิลด์และพิพิธภัณฑ์มหาวิทยาลัย ภายในยังมีร้านอาหารที่น่าสนใจ เสิร์ฟอาหารอร่อยที่ใช้วัตถุดิบสดใหม่จากทะเลเหนือ คุณจะได้สัมผัสกับประสบการณ์การรับประทานอาหารสุดชิค ในบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความอบอุ่น ไม่ควรพลาดการเดินเล่นริมริมน้ำ ที่คุณจะได้เห็นเรือสำราญหลากหลายลำ แล่นผ่านไปอย่างงดงาม และถ้าคุณมีเวลา ควรแวะไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเบียร์ที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งคุณจะได้ลิ้มลองรสชาติของเบียร์ท้องถิ่น Leith จึงเป็นมากกว่าท่าเรือที่แวะจอด มันคือสถานที่ที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรม อาหารอร่อย และบรรยากาศที่เป็นเอกลักษณ์ พร้อมที่จะสร้างความประทับใจในทุกการเดินทางของคุณ

อเบอร์ดีน เป็นเมืองท่าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และมีความสำคัญในสกอตแลนด์ โดยมีประชากรประมาณ 220,000 คน ถือเป็นเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศ เมืองนี้ได้ชื่อว่า "เมืองแกรนิต" หรือ "เมืองเทา" เนื่องจากอาคารหลากหลายหลังสร้างจากแกรนิตสีเทาที่ขุดขึ้นในท้องถิ่น ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 แกรนิตอเบอร์ดีนยังเคยใช้ในการสร้างอาคารสำคัญๆ อย่างเช่น อาคารรัฐสภาในลอนดอนและสะพานวอเตอร์ลู นอกจากนี้ อเบอร์ดีนยังได้ชื่อว่าเป็น "เมืองหลวงน้ำมันแห่งยุโรป" เนื่องจากมีการค้นพบน้ำมันในทะเลเหนือในช่วงทศวรรษที่ 1970 ทำให้ท่าเรือของเมืองนี้มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจอย่างมาก และสนามบินเฮลิคอปเตอร์ที่เชื่อมต่อไปยังแหล่งน้ำมันในทะเลเหนือ เป็นหนึ่งในสนามบินเฮลิคอปเตอร์ที่คึกคักที่สุดในโลก การเดินทางมายังอเบอร์ดีนจะทำให้คุณได้สัมผัสกับประวัติศาสตร์วรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่ และวัฒนธรรมที่น่าหลงใหล อีกทั้งยังมีทิวทัศน์ที่งดงามและทะเลที่สวยงาม ช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเดินทางที่หรูหราและน่าจดจำสำหรับนักเดินทางทุกคน

ท่าเรืออินเวอร์คอร์ดอน เป็นประตูสู่มหัศจรรย์ของที่ราบใหญ่ หรือ Great Glen ในสก็อตแลนด์ ซึ่งรวมถึงทะเลสาบเนส (Loch Ness) และเมืองอินเวอเนส (Inverness) ที่เป็นเมืองหลวงของไฮแลนด์ มีบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเองจากลมทะเลที่พัดมาจากอ่าวโมเรย์ (Moray Firth) นอกจากจะเป็นที่ตั้งของตำนานสัตว์ประหลาดที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอย่าง "เนสซี่" (Nessie) ซึ่งกลายเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวไม่รู้จบ ยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าประทับใจมากมาย เช่น ทะเลสาบในพื้นที่ การเดินป่าในภูเขาอันสูงชัน ทิวทัศน์ที่ตระการตาในโทนสีม่วงและเขียวของทุ่งหญ้า และป่าไม้ที่เต็มไปด้วยสัตว์ป่าที่แปลกตา เช่น กระต่ายภูเขา กวางแดง และนกอินทรีทอง การเดินทางมาที่อินเวอร์คอร์ดอนจะทำให้คุณได้สัมผัสความงามธรรมชาติที่แท้จริงและตำนานที่ยิ่งใหญ่ของสก็อตแลนด์ ไม่ว่าคุณจะเดินทางเพื่อการผจญภัยหรือเพียงเพื่อสัมผัสกับกิจกรรมในบรรยากาศที่เงียบสงบ ท่าเรือนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สมบูรณ์แบบสำหรับประสบการณ์ที่ไม่รู้ลืมในดินแดนแห่งสานสัมพันธ์ระหว่างตัวตนกับธรรมชาติอย่างลงตัว

เลอร์วิค เมืองเล็กที่มีเสน่ห์ ตั้งอยู่บนหมู่เกาะเชตแลนด์ (Shetland Islands) ของสกอตแลนด์ เป็นจุดหมายอันดับต้น ๆ สำหรับนักท่องเที่ยวที่มุ่งหน้าเข้าสู่ท่าเรือที่มีชีวิตชีวานี้ เมืองนี้ก่อตั้งขึ้นโดยชาวดัตช์ในศตวรรษที่ 17 และยังคงรักษาความงามของอาคารหินที่เรียกว่า "ล๊อดเบอรีส์" ซึ่งเป็นสถานที่ขนส่งสินค้าที่สำคัญในอดีต นี่คือเสน่ห์ที่ดึงดูดผู้คนและสะท้อนถึงความรุ่งเรืองในอดีตของเมืองนี้ เมื่อเดินเรือเข้าท่าเลอร์วิค คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศของท่าเรือที่ปัจจุบันยังมีความคึกคัก ด้วยถนนที่ปูด้วยแผ่นหินและวิวชายฝั่งที่งดงาม ทำให้ที่นี่เป็นเสมือนประตูสู่การสำรวจความงามของเชตแลนด์ สำหรับนักเดินทางที่มาเยือน ยังมีโอกาสได้พบปะกับวัฒนธรรมชาวเซลติก ที่สำคัญ และการชมธรรมชาติที่น่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นชายหาดที่ป่าเขียวขจีหรือสัตว์ป่าในท้องถิ่น ด้วยความเพลิดเพลินและน่าหลงใหลที่เลอร์วิคมอบให้ คุณจะได้สัมผัสกับการเดินทางที่ไม่เหมือนใคร คอยต้อนรับความตื่นเต้นในทุกขั้นตอนของการสำรวจสมบัติที่ซ่อนอยู่ในภูมิภาคนี้

เมืองมอลอย (Måløy) ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันตกของนอร์เวย์ เป็นท่าเรือที่ได้รับการยอมรับในฐานะจุดเชื่อมต่อที่สวยงามและเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าหลงใหล ที่นี่เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอันงดงามและวัฒนธรรมท้องถิ่นที่แตกต่างออกไป เมื่อคุณย่างก้าวเข้าสู่มอลอย คุณจะพบกับทัศนียภาพอันน่าทึ่งของภูเขาและทะเลที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เรือสำราญที่เข้ามาจอดยังเปิดโอกาสให้คุณได้สัมผัสกับการเดินเล่นบนชายฝั่ง พร้อมกับการสำรวจชายหาดที่สะอาดสะอ้านและน้ำทะเลสีฟ้าคราม ที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นท่าเรือ แต่ยังเป็นประตูเข้าสู่การสำรวจวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ นอกจากนี้ มอลอยยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นที่น่าสนใจ ซึ่งเป็นสถานที่ที่รวบรวมประวัติศาสตร์การทำประมง รวมถึงเรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่สอง ที่น่าดึงดูดใจไม่แพ้กัน คุณจะได้พบกับความงดงามของธรรมชาติอย่างจริงจัง และชื่นชมในวัฒนธรรมที่ยังคงสดใหม่ในทุกยุคสมัย มอลอยไม่เพียงแต่เป็นจุดแวะพักที่สะดวกสบายสำหรับนักล่าฝันในทะเล แต่ยังเป็นสถานที่ที่ช่วยเติมเต็มความปรารถนาในการออกสำรวจ เปิดโอกาสให้คุณได้สร้างความทรงจำอันยิ่งใหญ่ในโลกแห่งธรรมชาติที่สวยงามของนอร์เวย์ และแน่นอนว่า จะต้องประทับใจกับเสน่ห์ อันน่าหลงใหลที่รอคุณอยู่ในมอลอย!

เมืองอาเลซุนด์ (Ålesund) ตั้งอยู่ในเขตมอร์เรอ และ รอมส์ดาล (Møre og Romsdal) เป็นท่าเรือที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์และวัฒนธรรม เมืองนี้ได้ชื่อว่าเป็นราชธานีทางการค้าริมชายฝั่ง และเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในความงดงามของสถาปัตยกรรมสไตล์ยูเจนด์สติล (Jugendstil) หรืออาร์ตนูโว ซึ่งบางคนยกให้เมืองนี้เป็นหนึ่งในเมืองที่สวยที่สุดของนอร์เวย์ เมืองอาเลซุนด์ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดหลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ในปี 1904 ซึ่งทำให้มีบ้านเรือนถูกทำลายไปถึง 800 หลัง และประชาชนต้องไร้ที่อยู่อาศัยถึง 10,000 คน การสร้างใหม่ในครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจจากสถาปนิกหนุ่มต่างชาติที่นำสไตล์เยอรมันและรากเหง้าของชาวไวกิ้งมาผสมผสานกันอย่างลงตัว ทำให้ถนนแคบๆ ในเมืองเต็มไปด้วยอาคารที่มียอดแหลมต่างๆ พร้อมการตกแต่งรูปหัวมังกรและลวดลายที่งดงาม นอกจากนี้อาเลซุนด์ยังเป็นหนึ่งในเมืองอาร์ตนูโวที่เหลืออยู่ไม่กี่เมืองในโลก และในปี 1998 เมืองนี้ได้รับรางวัล Houens National Memorial Prize เพื่อเป็นการยกย่องความพยายามในการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์แห่งนี้ หากคุณได้มีโอกาสเยี่ยมชมเมืองอาเลซุนด์แล้ว จะรู้สึกถึงความงดงาม และเสน่ห์ที่ไม่ซ้ำใครอย่างแน่นอน

สตาวังเงอร์ เมืองท่าเล็กแต่มีเสน่ห์ของนอร์เวย์ ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแอตแลนติก เฟื่องฟูในศตวรรษที่ 19 ในฐานะท่าเรือประมง และห่างไกลจากความซบเซาในอุตสาหกรรมการประมง สตาวังเงอร์ได้เสริมสร้างเศรษฐกิจด้วยการเดินหน้าสู่อุตสาหกรรมการต่อเรือและน้ำมัน ส่งผลให้เมืองนี้มีบรรยากาศที่ทั้งทันสมัยและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว สถานที่สำคัญในเมืองคือมหาวิหารสตาวังเงอร์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1125 ซึ่งเป็นมหาวิหารในยุคกลางแห่งเดียวในนอร์เวย์ที่ยังคงสภาพดั้งเดิม สิ่งที่น่าสนใจรอบๆ เมืองนี้คือฟยอร์ดลิเซฟยอร์ด มีทิวทัศน์อันงดงาม สาภาระรอบด้วยหน้าผาสูงชันและหินรูปทรงแปลกตา นอกจากนี้ คุณยังสามารถเดินทางไปยังฮาฟรส์ฟยอร์ดซึ่งเป็นสถานที่ที่กษัตริย์ฮารัลด์แห่งไวกิ้งเข้าต่อสู้อย่างสำคัญเพื่อเริ่มต้นการรวมชาติของนอร์เวย์ สำหรับผู้ที่มองหาความรู้เพิ่มเติม สามารถแวะชมพิพิธภัณฑ์น้ำมัน ซึ่งจะทำให้คุณเข้าใจถึงความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ในบริบทของเมืองและประเทศ หากคุณกำลังมองหาประสบการณ์ท่องเที่ยวที่ลงตัวระหว่างวัฒนธรรมและธรรมชาติ สตาวังเงอร์คือจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาดในการเดินทางครั้งต่อไปของคุณ!
เมื่อเรือสำราญของคุณเลื่อนเข้าสู่ท่าเรือ Arendal เมืองเล็กในนอร์เวย์ คุณจะได้สัมผัสกับความงามอันน่าหลงใหลที่อยู่รอบตัว สัมผัสกับบรรยากาศของเกาะเล็กและประภาคารที่ตั้งตระหง่าน โดย Arendal ตั้งอยู่บนชายฝั่งตอนใต้ของนอร์เวย์ ประกอบด้วยเจ็ดเกาะที่ตั้งเรียงรายให้คุณได้สำรวจอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเท้าหรือปั่นจักรยานผ่านเส้นทางที่ทอดยาวริมทะเลสาบที่ใสสะอาด เมื่อเรือของคุณเข้าสู่ท่าเรือ คุณจะเห็นประภาคารคู่ที่อวดความสวยงามอย่าง Store Torungen ซึ่งยังคงใช้งานอยู่และส่งสัญญาณเตือนภัยให้กับเรือที่ผ่านไป ในขณะที่คุณก้าวลงจากเรือ คุณจะพบกับคาเฟ่และร้านค้าขายอาหารทะเลที่เรียงรายอยู่ในใจกลางเมือง ซึ่งเรียกชวนให้นักท่องเที่ยวได้ชิมรสชาติท้องถิ่น หากคุณต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ แนะนำให้คุณสำรวจชนบทที่งดงาม เส้นทางจักรยานที่นำคุณไปยังธรรมชาติอันบริสุทธิ์รออยู่ การได้ใช้เวลาอยู่กลางความสงบเงียบของ Arendal จะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความงามที่แท้จริงของนอร์เวย์และเติมเต็มความฝันในการเดินทางของคุณอย่างมีคุณค่า.

ออสโล เมืองหลวงของนอร์เวย์และเมืองที่ใหญ่ที่สุด ตั้งอยู่ที่ปลายฟยอร์ดออสโลที่งดงาม ท่ามกลางภูเขาและป่าไม้ที่เขียวชอุ่ม เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของศิลปะและวัฒนธรรม โดยมีพิพิธภัณฑ์กว่า 50 แห่ง ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีคำว่า “ศิลปะ” ที่พร้อมให้คุณค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นแกลเลอรีสุดหรู สวนประติมากรรมอันงดงาม หรือแม้แต่พระราชวังอันวิจิตร ออสโลยังมีอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์ศตวรรษที่ 19 ที่สวยงาม ประกอบกับถนนกว้างขวาง ทําให้การสำรวจเมืองนี้เป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้น ประวัติศาสตร์ของออสโลยาวนานกว่า 1,000 ปี ซึ่งเต็มไปด้วยมรดกทางการเดินเรือจากยุคไวกิ้งจนถึงการผจญภัยของธอร์ เฮเยอร์ดาห์ล ผู้ที่โด่งดังจากการเดินทางด้วยเรือคอนทิกิ ให้คุณได้สัมผัสกับความมหัศจรรย์ของออสโลผ่านทริปสุดพิเศษที่เรานำเสนอ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและกระตุ้นการเดินทางของคุณในเมืองที่อัดแน่นไปด้วยประวัติศาสตร์และศิลปะ ออสโลจะเปิดประตูให้คุณเข้าสู่โลกที่เต็มไปด้วยความสวยงามและเรื่องราวที่น่าทึ่ง.





เจ้าของสวีทใหม่ที่ถูกตกแต่งด้วยผ้าคุณภาพสูงและเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์อันหรูหรา มีจำนวน 6 ห้อง ซึ่งมักจะถูกจองก่อนเสมอ ห้องสวีทเหล่านี้มีพื้นที่กว้างใหญ่เกือบ 1,000 ตารางฟุต เป็นโอเอซิสแห่งความเงียบสงบและการพักผ่อนที่ยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ครบครัน โดยเฉพาะห้องน้ำที่ได้รับการออกแบบใหม่อย่างหรูหรา มีฝักบัวขนาดใหญ่ ระเบียงไม้เทียมส่วนตัว และโทรทัศน์จอแบน 2 เครื่อง ผู้เข้าพักในเจ้าของสวีทจะได้รับสิทธิพิเศษมากมาย เช่น บริการซักรีดฟรีสูงสุด 3 กระเป๋า การขึ้นเรือก่อนเวลา 11.00 น. พร้อมบริการจัดส่งสัมภาระอย่างรวดเร็ว บริการบัตเลอร์ 24 ชั่วโมง อาหารกลางวันในห้องสวีทในวันขึ้นเรือแบบส่วนตัว และมีบาร์เครื่องดื่มครบชุดฟรีที่มีสุราและไวน์ระดับพรีเมียม นอกจากนี้ยังมีแชมเปญต้อนรับ ผลไม้สดที่เติมให้ใหม่ทุกวัน การจองเข้าร้านอาหารพิเศษออนไลน์อย่างรวดเร็ว และการเข้าถึงอควอมา สปา เทอเรซ ได้ไม่จำกัด โดยยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการอาบน้ำระดับหรู ผ้าห่มแคชเมียร์สำหรับการนั่งพักผ่อนบนระเบียง และการบริการทำความสะอาดรองเท้าฟรี รวมถึงการรีดผ้าฟรีเมื่อขึ้นเรือ ทางเราขอเรียนให้ทราบว่า การสูบบุหรี่ในห้องสวีท ห้องพัก และบนระเบียงนั้นได้รับการห้ามอย่างเคร่งครัด




ชื่อห้อง "วิสตา สวีท" ที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถมองเห็นวิวสวยงามจากด้านหน้าของเรือ ห้องสวีทนี้มีพื้นที่กว้างขวางถึง 786 ตารางฟุต พร้อมให้ความสะดวกสบายที่สามารถจินตนาการได้ครบครัน รวมถึงห้องน้ำที่สองสำหรับแขก และห้องน้ำหลักซึ่งตกแต่งด้วยหินออนิกซ์, หินอ่อนคาราร่า และหินแกรนิต สัมผัสความหรูหราจากการอาบน้ำในฝักบัวที่ออกแบบอย่างพิถีพิถัน นอกจากนี้ ยังสามารถเพลิดเพลินกับการนั่งพักผ่อนบนระเบียงไม้ทีคหรือชมภาพยนตร์ผ่านระบบบันเทิงที่ปรับแต่งเฉพาะสำหรับคุณ เมื่อเข้าพักใน "วิสตา สวีท" คุณจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่มากมาย เช่น บริการซักรีดฟรีสูงสุดถึง 3 ถุงต่อห้องพัก, การขึ้นเรือในเวลา 11.00 น. โดยมีการจัดส่งกระเป๋าเดินทางลำดับความสำคัญ, บริการบัตเลอร์ตลอด 24 ชั่วโมง, และบาร์ในห้องพักที่มีเครื่องดื่มระดับพรีเมียม นอกจากนี้ยังมีขวดแชมเปญต้อนรับและผลไม้สดที่เติมเต็มทุกวัน หรือแม้กระทั่งสิทธิ์ในการจองร้านอาหารพิเศษออนไลน์อย่างรวดเร็ว และการเข้าใช้ Aquamar Spa Terrace อย่างไม่มีข้อจำกัด อีกทั้งยังมีอุปกรณ์อาบน้ำสุดหรู ทุกเช้าเลือกอ่านหนังสือพิมพ์ตามที่คุณต้องการ พร้อมกระเป๋าผ้าที่มีโลโก้ Oceania Cruises และเครื่องเขียนส่วนตัวให้คุณอีกด้วย ห้องสวีทนี้จะทำให้การพักผ่อนของคุณเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ โดยการใช้ผ้าห่มแคชเมียร์ในการนั่งพักผ่อนบนระเบียง และเลือกหมอนจากคอลเลกชันที่หรูหราได้ตามใจชอบ หากคุณต้องการสร้างความทรงจำที่ไม่มีวันลืมในสภาพแวดล้อมที่หรูหรา วิสตา สวีท คือทางเลือกที่ไม่ควรพลาด



เพนท์เฮาส์สวีทของเรามีพื้นที่กว้าง 30 ตารางเมตร ตกแต่งด้วยผ้าหรูหราและเฟอร์นิเจอร์ที่สวยงามในเฉดสีที่เงียบสงบและให้ความรู้สึกเหมือนทะเลและท้องฟ้า ห้องนอนกว้างขวางเหมาะสำหรับการรับประทานอาหารในห้อง พร้อมด้วยบริเวณนั่งเล่นที่มีมินิบาร์เย็นและโต๊ะเครื่องแป้ง ห้องน้ำได้รับการปรับปรุงใหม่อย่างหรูหราด้วยการตกแต่งหินและฝักบัวที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษสำหรับเพนท์เฮาส์สวีท เช่น บริการซักรีดฟรีสำหรับกระเป๋าถึง 3 ใบ รวมทั้งบริการผู้ช่วยส่วนตัวตลอด 24 ชั่วโมง และขวดแชมเปญต้อนรับฟรี บริการจองร้านอาหารพิเศษออนไลน์เป็นลำดับความสำคัญ และการเข้าถึง Aquamar Spa Terrace อย่างไม่จำกัด รวมถึงผ้าห่มแคชเมียร์สำหรับการพักผ่อนที่ระเบียง และบริการเงา รองเท้าและการรีดเสื้อผ้าฟรีเมื่อขึ้นเรือ นอกจากนี้ยังเป็นสิ่งสำคัญที่ห้ามสูบบุหรี่ในห้องสวีท ห้องพัก และระเบียงเพื่อให้คุณสามารถเพลิดเพลินกับการพักผ่อนอย่างเต็มที่


ห้องพักระดับคอนเซียร์จพร้อมระเบียง ประเภท A ตั้งอยู่ในทำเลที่ต้องการมากที่สุดบนเรือ ทั้งยังมอบความหรูหราและความคุ้มค่าอย่างลงตัว ห้องพักที่ถูกปรับแต่งใหม่อย่างทันสมัยขนาด 216 ตารางฟุตนี้ มอบสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทรงคุณค่าและความเป็นเอกสิทธิ์ เช่น การบริการซักรีดฟรีที่ทำให้การเข้าพักของคุณราบรื่นยิ่งขึ้น การตกแต่งใหม่ที่สดใส เตียงที่นุ่มสบายและระเบียงที่ได้รับการออกแบบใหม่พร้อมกับเฟอร์นิเจอร์ที่มีสไตล์ ล้วนแต่เติมเต็มประสบการณ์คอนเซียร์จอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ห้องพักยังมาพร้อมกับสิทธิพิเศษเฉพาะสำหรับคอนเซียร์จ ซึ่งรวมถึงบริการซักรีดฟรีสูงสุด 3 ถุงต่อห้องพัก, เมนูรูมเซอร์วิสที่ขยายจาก The Grand Dining Room, ขวดแชมเปญตอนต้อนรับฟรี, การจองร้านอาหารพิเศษล่วงหน้าแบบมีลำดับความสำคัญ, การเข้าถึง Aquamar Spa Terrace อย่างไม่จำกัด, กระเป๋าผ้าลาย Oceania Cruises ฟรี, ผ้าห่มขนสัตว์ที่เหมาะสำหรับการนั่งพักผ่อนบนระเบียง, การบริการรีดผ้าฟรีเมื่อขึ้นเรือ และบริการขัดรองเท้าฟรี ห้องพักประเภทนี้คือทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มองหาความสะดวกสบายและความหรูหราในการเดินทางทางทะเล


ระเบียง客艙ขนาด 216 ตารางฟุตนี้ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบเฉพาะ ซึ่งมาพร้อมกับพื้นหินแปลกตาและหัวเตียงที่บุด้วยวัสดุอ่อนนุ่ม ตลอดจนโคมไฟเก๋ไก๋ การสร้างสรรค์เหล่านี้เพิ่มเสน่ห์ให้กับห้องพัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีระเบียงไม้สักส่วนตัวซึ่งคุณสามารถชมทิวทัศน์ที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาได้อย่างสะดวกสบาย ภายในห้องประกอบไปด้วยโต๊ะเครื่องแป้ง, มินิบาร์ที่มีเครื่องดื่มเย็น, โต๊ะสำหรับรับประทานอาหารเช้า และพื้นที่นั่งเล่นที่กว้างขวาง ห้องระเบียงนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น เตียง Tranquility Bed ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของ Oceania Cruises พร้อมด้วยผ้าปูที่นอน 1,000 เส้นใย, เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่เติมฟรีทุกวันในมินิบาร์, น้ำ Vero ทั้งธรรมชาติและแตกฟองจัดส่งฟรี และของใช้ในห้องน้ำจาก Bulgari นอกจากนี้ยังมีบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง, การทำความสะอาดห้องสองครั้งต่อวัน, ช็อกโกแลตเบลเยี่ยมตอนจัดเตียง, ระบบโทรทัศน์แบบอินเทอร์แอคทีฟที่มีภาพยนตร์ออนดีมานด์, การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สาย และบริการโทรศัพท์มือถือ ด้วยการออกแบบที่หรูหราและอำนวยความสะดวกอย่างเต็มรูปแบบ การพักผ่อนในระเบียง客艙นี้ จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรพลาดสำหรับการเดินทางสุดพิเศษของคุณ


ห้องพักเดลักซ์วิวทะเลขนาด 165 ตารางฟุต ถูกออกแบบใหม่ให้มีความกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ด้วยตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง และเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความสะดวกสบาย โดยมุมพักผ่อนที่กว้างขวาง โต๊ะเครื่องแป้ง และมินิบาร์ที่มีเครื่องดื่มเย็น ๆ รวมถึงโต๊ะสำหรับทานอาหารเช้า รังสรรค์ด้วยสีสันที่ผ่อนคลายและผ้าสไตล์หรูหรา ทำให้ห้องนี้โดดเด่นอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ห้องพักยังมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น น้ำอัดลมเติมฟรีทุกวันในมินิบาร์, น้ำ Vero ทั้งแบบเปล่าและแบบมีฟองฟรี, และบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งเตียง Tranquility Bed ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ Oceania Cruises และผลิตภัณฑ์ Bulgari คุณภาพสูง บริการแม่บ้านจะทำความสะอาดห้องพักถึงสองครั้งต่อวัน พร้อมทั้งระบบโทรทัศน์ที่ให้บริการภาพยนตร์ตามสั่งและข้อมูลสภาพอากาศ รวมถึงการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายและบริการโทรศัพท์มือถือ อุปกรณ์ตกแต่งภายในเช่นโต๊ะเขียนหนังสือและเครื่องเขียน รวมถึงผ้าขนหนูและเสื้อคลุมที่ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ที่สำคัญยังมีช็อกโกแลตเบลเยียมจัดเตรียมไว้บริการในช่วงเปิดเตียงอีกด้วย สำหรับห้องพักที่มีคุณสมบัติสำหรับผู้พิการ จะมีพื้นที่ที่สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวก ห้องน้ำขนาดใหญ่พร้อมราวจับ และห้องน้ำที่ออกแบบให้สูงต่ำรวมกันด้วยระบบระบายน้ำที่มีอยู่ ในห้องยังมีอ่างอาบน้ำเพื่อความสะดวกสบายอีกด้วย *หมายเหตุ: ห้ามสูบบุหรี่ในห้องพักและพื้นที่บนระเบียงอย่างเคร่งครัด*


ห้องพักแบบมองเห็นทะเลมีขนาด 165 ตารางฟุต ซึ่งได้รับการตกแต่งอย่างหรูหราด้วยดีไซน์ทันสมัยที่ทำให้การใช้พื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ภายในห้องคุณจะได้พบกับพื้นที่นั่งเล่นที่สะดวกสบาย พร้อมโซฟาที่สามารถนอนเหยียดได้, โต๊ะเขียนหนังสือ, โต๊ะอาหารเช้า และมินิบาร์ที่มีตู้เย็นเย็นสดชื่น ห้องพักนี้ยังมีประตูหน้าต่างที่สามารถมองเห็นวิวทะเลสวยงามได้อีกด้วย ในห้องพักแบบมองเห็นทะเล คุณจะได้เพลิดเพลินกับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่ซ้ำใคร เช่น เตียง Tranquility ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์ของ Oceania Cruises, อุปกรณ์ Bulgari, บริการทำความสะอาดห้องพักสองครั้งต่อวัน, ระบบโทรทัศน์ดิจิทัลที่มีภาพยนตร์ตามสั่ง และการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตไร้สายและบริการโทรศัพท์มือถือ นอกจากนี้ยังมีชุดเครื่องนอนผ้าฝ้ายชั้นดี เสื้อคลุมและรองเท้าแตะ, ไดร์เป่าผมแบบมือถือ, ตู้นิรภัยสำหรับเก็บของสำคัญ พร้อมทั้งช็อกโกแลตเบลเยียมที่ได้รับในบริการนอนเตียง ผู้เข้าพักโปรดทราบว่าการสูบบุหรี่ในห้องพัก, สวีท และระเบียงเป็นสิ่งต้องห้ามอย่างเคร่งครัด


ห้องพักริมทะเลสำหรับเดี่ยวขนาด 143 ตารางฟุต เป็นที่พักที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับนักเดินทางเดี่ยว ซึ่งตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สะดวกสบายบนดาดฟ้า 6 โดยแต่ละห้องมีเตียง Tranquility Bed ที่นุ่มสบาย พร้อมด้วยมินิบาร์ที่สามารถเก็บเครื่องดื่มเย็น ๆ โต๊ะทำงาน และพื้นที่เก็บของที่เพียงพอ เพื่อให้คุณได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ในห้องพักริมทะเลสำหรับเดี่ยวยังมีบริการฟรีที่รวมไว้ เช่น เครื่องดื่มอัดลมที่ถูกเติมเต็มทุกวันในมินิบาร์, น้ำ Vero ทั้งแบบธรรมดาและแบบมีฟอง, และบริการรูมเซอร์วิสตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่รวมไว้ในห้องพัก อาทิเช่น ชุดอุปกรณ์ Bulgari การบริการทำความสะอาดห้องพักสองครั้งต่อวัน ระบบโทรทัศน์อินเตอร์แอคทีฟพร้อมภาพยนตร์ตามสั่ง และบริการอินเทอร์เน็ตไร้สาย รวมถึงการโทรศัพท์มือถือ คุณยังจะได้พบกับโต๊ะทำงานและเครื่องเขียน ผ้าขนหนูและเสื้อคลุมจากผ้าฝ้ายที่นุ่มสบาย เครื่องเป่าผม และตู้นิรภัยสำหรับความปลอดภัย พร้อมด้วยช็อกโกแลตเบลเยี่ยมในบริการคืนห้อง แม้ว่าในห้องพักจะห้ามสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด แต่ห้องพักริมทะเลสำหรับเดี่ยวนี้ยังคงมอบความหรูหราและความสะดวกสบายสำหรับการพักผ่อนอย่างเต็มที่สำหรับคุณ


客艙內部是為追求奢華與舒適的旅客量身打造的理想空間。這個房型提供了多種免費設施,包括每日補充的冷飲、純淨的靜水與氣泡水,以及全天候的客房服務選單,讓您在旅途中隨時都能享受便利。房間內配有獨特的Tranquility床鋪,是Oceania Cruises的專屬設計,確保您擁有極致的睡眠體驗。此外,房內還配有Bulgari品牌的盥洗用品,讓您的每一次清洗都充滿奢華感。 在客艙內,您可以享受每日兩次的清潔服務以及互動電視系統,這能讓您隨時觀看隨選的電影、查詢天氣等資訊。無論是工作還是休閒,無線網路及行動服務隨時可用,並配備了書寫桌與文具。此外,您還能享受柔軟的棉質毛巾、浴袍和拖鞋,以及手持式吹風機。安全方面,房內設有安全保險箱,並在夜晚服務中提供比利時巧克力,增添入住的愉悅體驗。請留意,客艙內及陽台上嚴禁吸煙,以確保每位旅客均能享受舒適且清新的環境。